ประเทศบรูไน (Brunei)
ประเทศบรูไนเข้าเป็นสมาชิกอาเซียนเป็นประเทศที่ 6 เมื่อวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2527 ภายหลังได้รับเอกราชจากประเทศอังกฤษ
ข้อมูลทั่วไปของประเทศบรูไน
ธงชาติ
สีเหลือง หมายถึง กษัตริย์
สีขาว
และสีดำ หมายถึง มุขมนตรี (เทียบเท่าตำแหน่งนายกรัฐมนตรี)
ธงชาติบรูไน เป็นธงสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีเหลือง
มีแถบสีขาวและสีดำ พาดทแยงมุม โดยสีขาวอยู่ด้านบน สีดำอยู่ด้านล่าง
ตรากึ่งกลางผืนธงมีภาพตราแผ่นดินของบรูไน
แต่เดิมประเทศบรูไนใช้ธงสีเหลืองล้วนๆ
เป็นสัญลักษณ์ ต่อมาได้คาดแถบสีขาว –
ดำ
และปรับเปลี่ยนแบบธงอีกครั้งโดยเพิ่มรูปตราแผ่นดินดังเช่นในปัจจุบัน
บรูไนเริ่มมีธงชาติใช้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 29
กันยายน พ.ศ. 2502
ตราแผ่นดิน
ประกอบด้วยสัญลักษณ์ 5 อย่าง
ได้แก่
ราชธวัช (ธง) และพระกลด (ร่ม)
เป็นของใช้สำหรับพระมหากษัตริย์แห่งบรูไน สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนดารุสซาลาม
ปีกนก
4 ขน หมายถึง การพิทักษ์ดูแล 4
ด้าน คือความยุติธรรม ความสงบ
ความเจริญ และสันติสุขของชาติ
มือสองข้างที่ชูขึ้น หมายถึง
รัฐบาลมีที่หน้าที่ยกระดับความมั่งคั่ง สันติสุข และความ เจริญก้าวหน้าในประเทศ ดังรูปมือที่ยกชูขึ้น
พระจันทร์เสี้ยว หมายถึง ศาสนาอิสลาม
ศาสนาประจำชาติบรูไนภายในพระจันทร์เสี้ยวมีข้อความ معطفمنالأسلحةبروناي คือคำขวัญประจำชาติบรูไนภาษาอาหรับ มีความหมายว่า
“น้อมรับใช้ตามแนวทางของพระอัลลอฮ์เสมอ” ส่วนแถบแพรด้านล่างสุดจารึกชื่อประเทศเป็นภาษามลายู
ดอกไม้ประจำชาติ
ดอกไม้ประจำชาติบรูไน คือ ดอกซิมปอร์ (Simpor) หรือที่รู้จักกันในชื่อ ดอกส้านชะวา ( Shrubby Dillenia) ทางภาคใต้บ้านเรา ดอกซิมโปร์มีกรีบดอกสีเหลืองขนาดใหญ่ เวลากลีบดอกบานออกจะดูดคล้ายร่ม ขึ้นอยู่ทั่วไปตามริมแม่น้ำของประเทศบรูไน โดยเฉพาะแม่น้ำเต็มบูรง (Temburong) และพบตามบึงหรือบริเวณที่มีทรายสีขาว ชาวบรูไนนิยมใช้รูปดอกไม้ชนิดนี้ตกแต่งออกแบบงานฝีมือพื้นเมือง และใส่ไว้บนธนบัตร นอกจากซิมโปร์จะเป็นไม้ดอกที่สวยงามแล้ว ส่วนต่างๆ ของต้นซิมโปร์ยังมีสรรพคุณทางยาอีกด้วย
คำขวัญ: น้อมรับใช้ตามแนวทางของพระเจ้าเสมอ(Always in service with God's guidance)
เพลงชาติ: อัลเลาะห์ เปลิฮารากัน สุลต่าน
ชื่อภาษาไทย
: เนการาบรูไนดารุสซาลาม
ชื่อภาษาอังกฤษ
: Negara
Brunei Darussalam
ที่ตั้ง
: ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN)
เมืองหลวง
: กรุงบันดาร์เสรีเบกาวัน (Bandar Seri Begawan)
ภาษาราชการ
: ภาษามาเลย์ (Malay)
สกุลเงิน
: ดอลล่าร์บรูไน (Brunei dollar, BND)
พื้นที่
: 2,226 ตารางไมล์ (5,765 ตารางกิโลเมตร)
จำนวนประชากร
: 415,717 คน
การปกครอง
: ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช
Time
Zone : UTC+8
(เร็วกว่าเวลาประเทศไทย 1 ชั่วโมง)
GDP
: 21,907
ล้านดอลลาร์สหรัฐ
รายได้ต่อหัวประชากร
: 50,440 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี
รหัสโทรศัพท์
(IDC)
: +673ประวัติ
บรูไนเป็นที่รู้จักและมีอำนาจมากในช่วงคริสต์ศตวรรษที่
14 ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 16
โดยมีอาณาเขตครอบครองส่วนใหญ่ของเกาะบอร์เนียวและส่วนหนึ่งของหมู่เกาะซูลู มีชื่อเสียงทางการค้า
สินค้าส่งออกที่สำคัญในสมัยนั้น ได้แก่ การบูร พริกไทย และทองคำ
หลังจากนั้นบรูไนเสียดินแดนและเสื่อมอำนาจลงเนื่องจากสเปน
และฮอลันดาได้แผ่อำนาจเข้ามา
จนถึงสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 19 ในปี
พ.ศ. 2431 (ค.ศ. 1888) ด้วยความวิตกว่าจะต้องเสียดินแดนต่อไปอีก
บรูไนจึงได้ยินยอมเข้าอยู่ภายใต้อารักขาของอังกฤษ และต่อมาในปี พ.ศ. 2449 (ค.ศ.
1906)
บรูไนได้ลงนามในสนธิสัญญายินยอมอยู่เป็นรัฐในอารักขาของอังกฤษอย่างเต็มรูปแบบ
ในปี พ.ศ. 2472 (ค.ศ. 1929)
บรูไนสำรวจพบน้ำมันและแก๊สธรรมชาติที่เมืองเซรีอา
ทำให้บรูไนมีฐานะมั่งคั่งในเวลาต่อมา
ในปี พ.ศ. 2505 (ค.ศ. 1962)
ได้มีการเลือกตั้ง ซึ่งพรรคประชาชนบอร์เนียว (Borneo People’s
Party) ได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้น แต่ถูกกีดกันไม่ให้จัดตั้งรัฐบาล
ต่อมาจึงได้ยึดอำนาจจากสุลต่าน
แต่สุลต่านทรงได้รับความช่วยเหลือจากกองทหารกูรข่าที่อังกฤษส่งมาจากสิงคโปร์
หลังจากนั้นได้มีการประกาศภาวะฉุกเฉิน และต่ออายุทุก ๆ 2 ปี เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
หลังจากที่อยู่ภายใต้อารักขาของอังกฤษมาถึง
95 ปี บรูไนก็ได้รับเอกราชเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2527 (ค.ศ. 1984)
ระบบการปกครอง
รัฐธรรมนูญปัจจุบันซึ่งแก้ไขล่าสุดเมื่อ
1 มกราคม พ.ศ. 2527 กำหนดให้สุลต่านทรงเป็นอธิปัตย์ คือเป็นทั้งประมุข
นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายกรัฐมนตรีจะต้องเป็นชาวบรูไนเชื้อสายมาเลย์โดยกำเนิด
และจะต้องเป็นมุสลิมนิกายซุนนี่ย์ นอกจากนี้
บรูไนไม่มีสภาที่ได้รับเลือกจากประชาชน
นโยบายหลักของบรูไน
ได้แก่การสร้างความเป็นปึกแผ่นภายในชาติ และดำรงความเป็นอิสระของประเทศ ทั้งนี้
บรูไนมีที่ตั้งที่ถูกโอบล้อมโดยมาเลเซีย และมีอินโดนีเซียซึ่งเป็นประเทศมุสลิมขนาดใหญ่อยู่ทางใต้
บรูไนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสิงคโปร์ เนื่องจากมีเงื่อนไขคล้ายคลึงกันหลายประการ
อาทิ เป็นประเทศเล็ก และมีอาณาเขตติดกับประเทศมุสลิมขนาดใหญ่
นับจากการพยายามยึดอำนาจเมื่อปี พ.ศ.
2505 รัฐบาลได้ประกาศกฎอัยการศึกส่งผลให้ไม่มีการเลือกตั้ง
รวมทั้งบทบาทพรรคการเมืองได้ถูกจำกัดอย่างมาก จนปัจจุบันพรรคการเมือง ได้แก่ Parti Perpaduan Kebangsaan Brunei (PPKB) และ Parti
Kesedaran Rakyat (PAKAR) ไม่มีบทบาทมากนัก
เนื่องจากรัฐบาลควบคุมด้วยมาตรการต่าง ๆ อาทิ กฎหมายความมั่นคงภายในประเทศ (Internal
Security Act (ISA)) ห้ามการชุมนุมทางการเมือง
และสามารถถอดถอนการจดทะเบียนเป็นพรรคการเมืองได้ ตลอดจนห้ามข้าราชการ
(ซึ่งมีเป็นจำนวนกว่าครึ่งของประชากรบรูไนทั้งหมด) เป็นสมาชิกพรรคการเมือง
นอกจากนี้ รัฐบาลเห็นว่าพรรคการเมืองไม่มีความจำเป็น เนื่องจากประชาชนสามารถแสดงความคิดเห็นหรือขอความช่วยเหลือจากข้าราชการของสุลต่านได้อยู่แล้ว
เมื่อเดือนกันยายนพ.ศ. 2547
ได้มีการจัดการประชุมของสภาเป็นครั้งแรก ตั้งแต่บรูไนประกาศเอกราช
กองกำลังทหาร
กองทัพของบรูไน (Royal Brunei
Armed Forces หรือ RBAF) มีกำลังพลเพียง
7,000 นาย และกำลังสำรอง 700 นาย โดยแบ่งเป็นกองทัพบก 4,900 นาย กองทัพเรือ 1,000
นาย และกองทัพอากาศ 1,200 นาย
อย่างไรก็ดี สุลต่านยังมีกองทหารกูรข่าของพระองค์เอง เรียกว่า Gurkha Reserve Unit (GRU) จำนวน 2,500 นาย และกองทหารกูรข่าของอังกฤษ (British
Gurkha) รวมกำลังพล 1,000 คน
ประจำอยู่ที่เมืองเซอเรีย เพื่อดูแลรักษาความปลอดภัย ให้แก่บ่อน้ำมัน
และกิจการผลิตน้ำมันของ Brunei Shell Petroleum โดยรัฐบาลบรูไนเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
การแบ่งเขตการปกครอง
ประเทศบรูไนแบ่งการปกครองระดับบนสุดออกเป็น 4 เขต (daerah) คือ
- เขตบรูไน-มัวรา
- เขตเบอไลต์
- เขตตูตง
- เขตเติมบูรง
ภูมิศาสตร์
บรูไนประกอบด้วย 2
ส่วนที่ไม่ติดกันคือด้านตะวันตกและตะวันออกโดยที่ประชากรร้อยละ 97
อาศัยอยู่ในส่วนด้านตะวันตก และมีประชากรเพียงประมาณ 10,000
คนที่อาศัยอยู่ในด้านตะวันออก ซึ่งมีภูเขาเป็นจำนวนมาก
และเป็นที่ตั้งของเขตเติมบูรง เมืองหลัก ๆ ของบรูไนคือเมืองหลวงบันดาร์เสรีเบกาวัน
เมืองท่ามัวรา และเซอเรีย
ภูมิอากาศในบรูไนเป็นภูมิอากาศเขตร้อน มีอุณหภูมิสูง ความชื้นสูง และ
ฝนตกมาก[3]
เศรษฐกิจ
บรูไนเป็นประเทศที่ร่ำรวยไปด้วยน้ำมันและก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำรายได้มาสู่ประเทศเป็นอันดับหนึ่ง
แต่รัฐบาลบรูไนก็เริ่มตระหนักว่าประเทศชาติจะพึ่งพิงรายได้จากทรัพยากรทั้งสองอย่างเท่านี้ไม่ได้เสียแล้ว
แต่ควรหันมาให้ความสนใจกับทรัพยากรธรรมชาติอี่น ๆ ที่ยังคงมีมากมายเช่น ป่าไม้
แร่ธาตุ สัตว์น้ำ และพื้นที่อันอุดมสมบรูณ์เหมาะแก่การเกษตร
เพื่อเป็นการเร่งรัดการพัฒนารูปแบบของการลงทุน
สุลตานบรูในได้ทรงตั้งกระทรวงขึ้นมาใหม่คือกระทรวงอุตสาหกรรมและทรัพยากรธรรมชาติ
เพื่อทำหน้าที่ดูแลวางแผนและดำเนินงานด้านอุตสาหกรรมและการลงทุนโดยเฉพาะ
โครงการอุตสาหกรรมที่ได้รับการสนับสนุนและเร่งรัดส่งเสริมเป็นพิเศษ ได้แก่
อุตสาหกรรมขนาดเล็ก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่สัมพันธ์กับภาคเกษตร ป่าไม้ และการประมง
การดำเนินการช่วงแรกนั้น
รัฐบาลมุ่งสนับสนุนโรงงานและอุตสาหกรรมขนาดเล็กในภูมิภาคที่สามารถป้อนผลผลิตให้กับผู้บริโภคในท้องถิ่นก่อนเป็นอันดับแรกแล้วจึงขยายไปสู่การผลิตเพื่อการส่งออกในระยะยาว
รัฐบาลได้ตั้ง่ความหวังว่าอุตสหกรรมเหล่านี้จะเป็นแหล่งที่เข้ามาแทนที่อุตสาหกรรมน้ำมันที่อาจหมดไปในอนาคต
โดยที่ประชาชนยังมีหลักประกันว่าจะมีงานทำ บรูไนเป็นประเทศที่มั่งคั่งด้วยทรัพยากร
ขณะนี้ยังมีประชากรน้อยมาก
แต่บรูไนก็ไม่ได้หวังพึ่งพารายได้จากการขายน้ำมันเพียงอย่างเดียว ได้พยายามที่จะพัฒนาประเทศให้พึ่งพาตัวเองได้
อย่างไรก็ตามบรูไนเป็นประเทศที่มีค่าครองชีพสูงมากแห่งหนึ่งของโลก
แต่รัฐบาลได้ให้สวัสดิการอย่างดีเลิศแก่ประชาชน อาทิ
ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ส่วนบุคคล ค่ารักษาพยาบาลฟรี การศึกษา
รัฐให้เล่าเรียนจนถึงระดับชั้นมัธยมศึกษานอกจากนี้ยังมีสวัสดิการแก่ข้าราชการของรัฐ
อุตสาหกรรมสำคัญของประเทศ คือ น้ำมัน ส่วนพืชเกษตรที่สำคัญ ได้แก่ ข้าว กล้วย
อุตสาหกรรม
บรูไนมีอุตสาหกรรมอื่น นอกเหนือจากอุตสาหกรรมน้ำมันอยู่บ้าง อาทิ
การผลิตอาหาร และปลากระป๋อง
แนวโน้มการพัฒนาทางเศรษฐกิจ
ปัจจุบัน บรูไนกำลังพยายามเปลี่ยนแปลง
จากเศรษฐกิจที่พึ่งพาน้ำมันเป็นหลัก ไปสู่โครงสร้างเศรษฐกิจ
ที่มีความหลากหลายมากขึ้น
เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่าปริมาณน้ำมันสำรองที่ยืนยันแล้ว (proven reserve) ของบรูไนจะหมดลงในราวปี พ.ศ. 2558
ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในเอเชีย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543
ทำให้บรูไนเร่งปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจ และใช้มาตรการต่าง ๆ
เพื่อสร้างความหลากหลายทางเศรษฐกิจ ได้แก่
- จัดตั้งสภาที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ นำโดยเจ้าชายโมฮาเหม็ด โบลเกียห์ (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของบรูไน) ซึ่งมีแนวทางส่งเสริมภาคเอกชน ให้มีบทบาทมากขึ้น ในการส่งเสริมการพัฒนาทางเศรษฐกิจ
- ปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ จากเดิมที่เน้นนโยบายให้สวัสดิการ มาเป็นการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ และแปรรูปรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ โดยให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น ขยายฐานการจัดเก็บภาษี
- ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนในต่างประเทศของ BIA โดยหันมาลงทุนในธุรกิจด้านใหม่ ๆ ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำ เช่น การซื้อหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและโทคมนาคม หรือธุรกิจสายการบินต่าง ๆ
- แผนพัฒนาแห่งชาติฉบับที่ 8 (The Eighth National Development Plan: 8th NDP) ที่ดำเนินการระหว่างปี พ.ศ. 2544-2548 มีสาระสำคัญ ได้แก่ ตั้งเป้าอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี - GDP) ที่ร้อยละ 5–6 โดยตั้งวงเงินงบประมาณ สำหรับการดำเนินตามแผนฯ ไว้ 7.3 พันล้านดอลลาร์บรูไน ซึ่งคาดว่ากลยุทธ์ทางการพัฒนาใหม่นี้ จะช่วยให้รัฐบาลสร้างสมดุลของงบประมาณได้ดีขึ้น สามารถกำหนดมาตรการในการพัฒนา และฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน สร้างความแข็งแกร่งและการขยายตัวให้กับอุตสาหกรรมน้ำมันและแก๊ส รวมทั้งการพัฒนาอุตสาหกรรมต่อเนื่องต่าง ๆ พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมและทรัพยากรมนุษย์ รวมทั้งอุตสาหกรรมขนาดเล็กและย่อม การขยายความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน แปรรูปรัฐวิสาหกิจบางกิจการ และสร้างความแข็งแกร่งในระบบการเงินและการคลัง นอกจากนี้ รัฐบาลบรูไนยังยึดแนวคิดของวิธีการปกครองที่ดี (Good Governance) รวมทั้งเน้นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับภาคเอกชน
- ส่งเสริมการลงทุนกับต่างประเทศ และมีมาตรการเปิดเสรีด้านการค้า และสร้างบรรยากาศที่เอื้ออำนวยต่อการลงทุน ไม่เฉพาะแต่บริษัทในประเทศ แต่รวมถึงประเทศต่าง ๆ จากกลุ่มอาเซียน และนานาประเทศ
- พัฒนาประเทศให้เป็นศูนย์บริการการค้าและการท่องเที่ยว (Service Hub for Trade and Tourism -SHuTT 2003 Vision) และเป็นตลาดการขนถ่ายสินค้าที่สำคัญของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นเป้าหมายประการหนึ่งของโครงการความร่วมมือของกลุ่ม Brunei Indonesia Malaysia Philippines-East ASEAN Growth Area (BIMP-EAGA)
- สร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและเอื้ออำนวยต่อโครงการพัฒนาเศรษฐกิจและสาธารณูปโภคพื้นฐาน นอกจากนี้ จากการที่บรูไนได้กำหนดแผนพัฒนาประเทศให้เป็นศูนย์กลางการเงินนานาชาติ (Brunei International Financial Center : BIFC) โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะยกระดับประเทศ ในด้านการบริการการเงินในระดับนานาชาติ กระจายความหลากหลายทางเศรษฐกิจ และสร้างงานให้กับประชาชน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น